วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"Ice Bucket Challenge" ของอาจารย์อดัม

"Ice Bucket Challenge" ของอาจารย์อดัม 
ในคลิปยังสอนภาษาได้อีก เจ๋งฝุด ๆ 


I'm shivering.
(อายมฺ ชิ-เฟอร-ริง)
shivering - ตัวสั่น


วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Bummer!!

ในวันที่รถยางแตก ได้ถ่ายรูปแล้วส่งไลน์ให้เพื่อนดู
เพื่อนตอบกลับมาว่า That's a bummer!
Bummer is slang for say something is unfortunate.
ต่อไปถ้าจะอุทานว่า ซวยแร้วตู! ก็ใช้คำว่า Bummer! แทนได้ค่ะ



วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คำว่า "ไม่มี" ในภาษาอังกฤษ ( No have ผิดนะจ๊ะ)


คำว่า "ไม่มี" ในภาษาอังกฤษ
ถ้า  No have ฝรั่งไม่ใช้ แล้วเขาใช้คำไหนกัน

ไปฟังอาจารย์อดัมกันค่ะ




วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

It's raining cats and dogs. ฝนตกเป็นแมวเป็นหมา...จริงเหรอ???


It's raining cats and dogs. 
มันไม่ได้หมายความว่าฝนตกเป็นแมวเป็นหมาจริง ๆ หรอกนะคะ
แต่มันเป็นสำนวนที่หมายถึง ฝนตกหนักมาก ค่ะ
ถ้าฝนตกปรอย ๆ ใช้ It's drizzling.
ฝนตกธรรมดา ก็ใช้ It's raining. ก็พอค่ะ




วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

I'm so hot.

"I am so hot!" เป็นคำพูดที่ทะลึ่งรึเปล่า
อาจารย์อดัมไขข้อข้องใจกับประโยคนี้
จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้ทะลึ่งแต่อย่างใดนะคะ





วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

It's up to you. แล้วแต่คุณ

"แล้วแต่คุณ" ในภาษาพูดเคยได้ยินบางคนพูด up to you เฉย ๆ 
อาจารย์อดัมบอกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
ถ้าจะให้ฟังดูดีควรใช้ It's up to you. มากกว่า
ส่วน "ตามใจคุณ" ใช้ Whatever suits you./What you'd like./Whatever you see fit.
รายละเอียดดูในคลิปเลยค่ะ อย่าลืมฝึกออกเสียงตามกันด้วยนะคะ




วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ฝรั่งเรียนไทย

ฝรั่งเรียนไทย รายการใหม่จากอาจารย์อดัม แบรดชอว์
บอกเล่าถึงน้องชายของอาจารย์อดัม
ที่สนใจมาเรียนภาษาไทยและช่วยอาจารย์อดัมสอนภาษาอังกฤษ
ดูจบแล้วบอกได้เลยว่าน้องเบน น้องชายของอาจารย์อดัมเนี่ยน่ารักไม่แพ้พี่ชายเลย


จบคลิปได้ประโยคไปฝึกพูดกันหลายประโยคเลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ยังสับสนเรื่อง A, An, The อยู่หรือเปล่า

เรียนมากันตั้งแต่เด็กทำไมถึงยังสงสัยสับสน
การใช้  A, An, The  หรือจะเพราะเราไม่ตั้งใจเรียน
แต่ไม่เป็นไรมาฟังครูคริสอธิบายกัน 3 นาทีเอง






วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การออกเสียงคำที่ลงท้ายด้วย ed

ทุกวันนี้ออกเสียงคำที่ลงท้ายด้วย ed กันถูกหรือเปล่า
ถ้าไม่มั่นใจว่าออกเสียงถูกหรือไม่
ดูคลิปนี้ค่ะ  ครูคริสสอนเข้าใจง่ายดี




วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

The most common 1000 words in English

ในเฟซบุคของครูคริสได้นำเสนอ
1,000 คำ ที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ
และเราควรจดจำให้ได้
ครูคริสบอกว่า สิ่งสำคัญในการเรียนภาษาคือคำศัพท์
เพราะต่อให้เรารู้ Grammar แต่ถ้าเราไม่รู้คำศัพท์
เราก็พูดไม่ได้อยู่ดี
ครูคริสจัดมาให้แล้ว คลิ๊กดูได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ
The most common 1000 words in English 

เรามาฝึกฝนไปพร้อมกันนะคะ (^0^)


วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

5 วิธีเรียนภาษาอังกฤษ


ครูคริสฝรั่งพูดไทย (ได้ข่าวตอนนี้อู้กำเมืองได้ด้วย)
แนะนำ 5  วิธีเรียนภาษาอังกฤษง่าย ๆ สำหรับผู้เริ่มต้น
โดยประยุกต์มาจากวิธีที่ครูคริสใช้เรียนภาษาไทยค่ะ



สรุป
1. ท่องคำศัพท์ -รู้คำที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะมีประโยชน์มากกว่า
2. ดูทีวี-พยายามพูดตาม
3. ทำพจนานุกรมเอง - เมื่อไหร่ที่พบคำศัพท์ใหม่ให้จดลงใน Dictionary ทำเอง
4. อ่านออกเสียง - ช่วยในการพูด/การฟัง ช่วยให้ชินกับสำเนียงภาษา
5. ฟังเพลง - ช่วยจำคำศัพท์เข้าใจความหมายได้ง่าย

ตอนท้ายคลิปครูคริสพูดเรื่อง การเข้ากับการออก Input & Output 
เราไม่สามารถพูดอะไรได้ถ้าเราไม่เคยฟังสิ่งนั้น มันต้องเข้าก่อนที่จะออก
ดังนั้น เราต้องฟังคำศัพท์เข้าไปก่อน มันก็พร้อมเสมอที่จะออก(พูด)

เฟซบุคครูคริส https://www.facebook.com/Teacherchrischiangmai




วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

How to remember vocabulary

หลากหลายเทคนิคในการจำคำศัพท์
ลองนำไปปรับใช้กันดูค่ะ



สรุป  9   วิธีช่วยจำคำศัพท์จากคลิป


1.  ตัดกระดาษเขียนคำศัพท์แปะสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา

2. จำคำศัพท์เป็นหมวด เช่น กลุ่มคำที่ลงท้ายด้วย –sist 
จัดกลุ่มเป็น  Insist, resist, persist, assist
ทำให้ได้คำศัพท์มากกว่าครั้งละ 1 คำ  

3.  จำคำศัพท์เป็นหมวดหมู่  
เช่น เห็นคำว่า Stop ให้คิดเชื่อมโยงไปถึงคำที่มีความหมายเหมือนกับ Stop 
เช่นคำว่า Pause, drop , break  เป็นต้น   

4.  การเชื่อมโยงคำศัพท์กับภาพช่วยจำ 
เช่น  คำว่า beard  แปลว่า เครา 
คือคำว่า bear แปลว่า หมี  พอเติม d  
กลายเป็นหมีมีขน  ได้คำว่า  beard  นั่นเอง

5.  ใช้ทั้งดิคทั้งไทยอังกฤษและอังกฤษไทย 
เวลาเปิดดิคให้ดูบริบทรอบข้างของคำนั้นด้วย 

6.  การทำบัตรคำด้วยตัวเอง คือ ตัดกระดาษเป็นบัตรคำ
จากนั้นเขียนคำศัพท์ไว้ด้านหน้ากระดาษ
ส่วนด้านหลังจดรายละเอียดไว้ว่าเป็นคำประเภทไหนและลองแต่งประโยค 

7.  เล่นเกมที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษช่วยจดจำคำศัพท์   

8.  พกสมุดเล่มเล็กติดตัวไว้ตลอดเพื่อจดคำศัพท์ใหม่ ๆ 
ว่าง ๆ ก็เปิดดูเพื่อทบทวนหรือเอาคำไปทำบัตรคำ

9.  ทำ Mind map

ตอนท้ายคลิปครูบอกว่าเทคนิคที่ครูใช้เยอะมาก
คือ การใช้เทคนิคการเชื่อมโยงด้วยภาพ สี หรือคำ
จะช่วยลดเรื่องการจดลงไปเยอะ
และที่สำคัญคือสนุกกับมัน 



กระทู้แชร์วิธีฝึกภาษาอังกฤษ

มีกระทู้หนึ่งในเว็บไซต์พันทิปที่อ่านแล้วรู้สึกประทับใจในวิธีการฝึกฝนภาษาอังกฤษ
ด้วยความที่ปัจจุบันเทคโนโลยี ทั้งอินเตอร์เนต สมาร์ทโฟน
สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองได้หลาย ๆ ด้าน
ในส่วนของการพัฒนาทักษะด้านภาษา
การใช้เทคโนโลยีของเจ้าของกระทู้นี้
ทำให้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเองได้
ถ้าคุณมีอินเตอร์เนต มีสมาร์ทโฟน
การเรียนภาษาของคนยุคนี้สบายกว่าคนยุคก่อนแน่นอน

ลองอ่านกระทู้  [แชร์]วิธีฝึกภาษาอังกฤษให้เก่ง นอกตำรา(You can do it)
เจ้าของกระทู้ได้สรุปสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการฝึกภาษาอังกฤษเอาไว้ดัวย ดังนี้
สิ่งที่ควรทำ
-    กล้าที่จะพูด
-    อย่ากลัวที่จะถาม
-    มองในแง่ดี คนที่เก่งภาษาทุกคนเริ่มจาก 0
สิ่งที่ไม่ควรทำ
-    คิดว่าตัวเองอ่อน ไม่มีพรสวรรค์
-    คิดว่าทำไม่ได้หรอก ยากเกินไป แค่ภาษาไทยยังไม่รอดเลย
-    ไม่กล้าพูด กลัวคนรอบข้างหาว่ากระแดะ
ส่วนการเตรียมการฝึกและวิธีฝึก ตามไปอ่านได้ในกระทู้เลยค่ะ




วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Take off ถอด...ต้องถอด...ต้องถอด

Take off...(ถอด...)

Example  
Take off your cap. (ถอดหมวกแก๊ป)
Take off your shoes. (ถอดรองเท้า)
Take off your clothes. (ถอดเสื้อผ้า)

Put on... (สวม)

Example  
Put on your jacket. (สวมเสื้อแจ็คเก็ต)                 
Put on your pajamas. (สวมชุดนอน)                  
Put on your clothes. (สวมเสื้อผ้า)


นอกเรื่อง : พอพิมพ์คำว่า "ถอด" ก็ดันนึกถึงเพลงนี้ "หน้ากาก"
เสียงพี่โดม หน้าพี่โดม ลอยมาเชียว
ถอด...ต้องถอด...ต้องถอด...
แค่ดูข้างนอกไม่รู้มันต้องดูดูข้างใน
ถอด..ให้หมด...ให้หมด..
ถ้าคิดจะรักกันแล้ว...มันต้องดูถึงหัวใจ




ความต่างของ Live กับ Live

สองคำนี้  Live กับ Live  คุณจะอ่านว่าอย่างไร
“ลีฟ” กับ “ลีฟ”  หรือ  “ไลฟ” กับ “ไลฟ”  เอ๊ะ!! หรือว่าจะเป็น  “ลีฟ” กับ “ไลฟ” 
เอาไงกันดีเนี่ย???
นี่ทำให้นึกถึงวลี “อะไรว้า!” ซึ่งเป็นชื่อเพลงของนักร้องคู่ดูโอ้ แซนด์&แบงค์  (เอิ่ม...บ่งบอกวัยมากอะ)
ใครไม่เคยฟังเพลงนี้ คลิ๊กที่นี่ เลยค่ะ (ออกทะเลแว้ว!!!)

เจ้าของบล็อก(จขบ.) เคยรู้สึกเป็นงง!! กับ 2 คำนี้มาก่อน
ถ้าเป็นในภาษาไทยก็น่าจะเรียกว่าเป็น “คำพ้องรูป” ได้ล่ะมั้งเนอะ
(คำพ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ออกเสียงต่างกัน)

มาดูความต่างของ 2 คำนี้กันค่ะ
1.  Live  (v.) อ่านว่า  ลีฟ  แปลว่า  อยู่อาศัย
Example   I live in Chiang Mai. (ฉันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่)

2.  Live (adj.) อ่านว่า ไลฟ  แปลว่า   มีชีวิตอยู่, คงอยู่, ยังไม่ตาย(ประมาณว่าตัวเป็น ๆ นั่นแหละค่ะ)
หรือถ้าใช้กับการแสดงหรือรายการต่าง ๆ ก็แปลว่า ถ่ายทอดสด
(คงเคยเห็นคำว่า Live อยู่มุมจอทีวีกันนะคะ 
ซึ่งบ่งบอกให้เรารู้ว่ารายการนั้นเป็นการถ่ายทอดสดหรือการแสดงสดนั่นเอง)
Example   I was so excited to see a live elephant. (ฉันตื่นเต้นเมื่อได้เห็นช้างตัวเป็น ๆ)
                I want to see a live performance of *Got7. (ฉันอยากดูการแสดงสดของวงก๊อตเซเว่น) 

*Got7 เป็นวงดนตรีบอยแบนด์สัญชาติเกาหลีใต้ ภายใต้สังกัด JYP 
(จขบ.เป็นติ่งเกาหลีนิด ๆ แหละ 555+)
Got7 is a hip-hop group in South Korea. Formed by JYP Entertainment in 2014 .



                   

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

VOA Learning English

มีเว็บไซต์ที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่สนใจจะฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษ
นั่นคือ  http://learningenglish.voanews.com/ และ  http://www.voathai.com/


วันนี้เจ้าของบล็อก(จขบ.) เขียน Blog ไปเสียหลายหัวข้อ
นั่นเพราะอยู่ในอารมณ์ที่อยากแบ่งปันให้กับคนอื่น ๆ
อีกอย่างตอนนี้นึกอะไรได้ก็อยากจะรีบบอก
ถ้าพ้นจากวันนี้ไปอาจจะลืมก็ได้ (ปกติเป็นคนขี้ลืม)
ความตั้งใจของ จขบ. คือ แต่ละ Blog ที่เขียน
อยากให้สั้น ๆ ง่าย ๆ กระชับ ได้สาระทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
เขียนเยอะเกรงจะมีแต่น้ำ ทำเสียเวลาคนเข้ามาอ่าน
จขบ.หวังว่าสิ่งนำมาเผยแพร่จะเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยค่ะ
(เรามาฝึกฝนไปด้วยกันนะ สู้! สู้! )






บทความภาษาอังกฤษง่าย ๆ สำหรับฝึกอ่าน

ถ้าต้องการหาบทความภาษาอังกฤษสำหรับฝึกอ่าน
แนะนำเว็บไซต์  http://eng4read.blogspot.com/ ค่ะ
ในเว็บไซต์นี้มีบทความที่ใช้คำศัพท์ที่ไม่ยากมาก
คนที่มีทักษะกลาง ๆ (ค่อนไปทางอ่อน) เหมือนเจ้าของบล็อก(จขบ.) อ่านได้สบาย
มีบทความให้อ่านเยอะแยะ แต่ละบทความก็ไม่ยาวมาก
ฝึกอ่านวันละ 2-3 บท พอให้รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน
ไม่ต้องเรียนแบบรีบเร่ง จำได้ไหม เรียนภาษาอังกฤษ...ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า
ดังนั้น เรามาเรียนภาษาอังกฤษแบบมีความสุขกันเถอะค่ะ



ตื่น! ตื่น! ตื่น! It's time to get up.

ไม่รู้ว่าตอนเช้าที่บ้านใครจะเสียงดังเอะอะเหมือนที่บ้านเจ้าของบล็อก(จขบ.)บ้าง
ที่เอะอะกันเป็นประจำเพราะน้องชายของ จขบ. เป็นเจ้าชายสายตลอด ของบ้านนั่นเอง
สายมาตั้งแต่สมัยเรียนจนตอนนี้เป็นพนักงานออฟฟิศแล้วคุณชายท่านก็ยังสายอยู่

เช้าวันนี้ก็เหมือนเดิมแม่ต้องเป็นคนปลุกน้องชายอีกแล้ว (สงสัยอยู่ว่าน้องเรามีนาฬิกาปลุกไว้ทำไม)
ทำให้ จขบ. นึกถึงประโยคภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่าได้เวลาตื่นแล้ว
นั่นคือ "It's time to get up." จึงบอกแม่ไปว่าทีนี้แม่พูดแบบนี้เลยนะเวลาปลุกน้องน่ะ

It's time to get up.

รูปประโยค It's time... สามารถใช้กับคำกริยาอื่นได้อีก
โดยต่อด้วย to+V.1  เช่น It's time to sleep. ได้เวลานอนแล้ว
หรือต่อด้วย for+N. เช่น It's time for lunch. ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว


เรียนภาษาอังกฤษ...ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า

บทความ " ไม่ควรเรียนภาษาอังกฤษ แบบ 'ยิ่งรีบ-ยิ่งช้า' "
คุณพิพัฒน์เขียนไว้ใน เว็บไซต์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2551
ได้กล่าวถึงการฟิตภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีและมีความสุข
ว่าให้พยายามไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องใจร้อน
ถ้าอดีตเคยฟิตไว้ดีก็จะได้อานิสงส์ดีจากอดีต
แต่อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้
ก็ทำปัจจุบันให้มันดี อนาคตจะดีเอง
โดยยกตัวอย่างนิทานเซนเรื่อง "ยิ่งให้เร็ว นั่นแหละจะยิ่งช้า" ประกอบบทความด้วย

ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับบทความดังกล่าว
เพราะยิ่งรีบอยากเก่งเร็วก็จะยิ่งสรรหาสารพัดสารพันมาเป็นตัวช่วย
ทั้งหนังสือสอนภาษาที่แต่งโดยหลากหลายอาจารย์
ไฟล์เสียง ไฟล์วิดีโอ ฟังเพลง ฟังบทสนทนา
อันนั้นน่าเรียน อันนี้น่าอ่าน อันโน้นก็เข้าท่า
ฉันจะอ่าน จะฟัง จะเขียน ทำหมดทุกอย่างเลย
แต่พออัดทุกสิ่งอย่างไปในวันเดียว
เมื่อหมดวันกลับจำเนื้อหาสาระอะไรไม่ได้
พฤติกรรมนี้อธิบายการเรียนภาษาอังกฤษ แบบ "ยิ่งรีบ-ยิ่งช้า" ได้ชัดเจนจริง ๆ 




แนะนำคลังความรู้เพื่อฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษ

เว็บไซต์นี้ http://www.e4thai.com
รวบรวมความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองโดยที่เราไม่ต้องเสียตังค์
ผู้จัดทำชื่อ คุณพิพัฒน์ ซึ่งเมื่อเราได้หลุดเข้าไปในโลกแห่งคลังความรู้นี้แล้ว
ก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่หนอจะศึกษาหาความรู้จากเว็บไซต์แห่งนี้ได้จนหมด
คุณพิพัฒน์ ได้แจ้งไว้ว่าจัดทำ Blog ขึ้นเพราะมีความสุขที่ใช้ความสามารถที่ตนเองมี
และมีความสุขยิ่งขึ้นที่มีคนได้รับประโยชน์จาก Blog ที่ทำ
เราในฐานะผู้ได้รับประโยชน์จาก Blog นี้
จึงขออาราธนาอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้
คุณพิพัฒน์ มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
อย่างน้อยตรงนี้ก็มีอีกคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จาก Blog ของคุณค่ะ